กรุงเทพฯ เป็นเหมือนภาพศิลปะที่นำปะติดปะต่อรวมกันจนได้ภาพที่สมบูรณ์ มีการผสมผสานกันทั้งวัฒนธรรม เทคโนโลยี และประเพณีต่างๆ จากการสำรวจเมืองหลวงของประเทศไทยนั้นอาจต้องเรียกว่า เมืองที่มีความน่าตื่นเต้นที่สุดในโลก จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คุณแปลกใจ และกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น
คุณอาจจะยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับมุมถนนแห่งนี้และ และยังมีเรื่องราวอีกมากที่จะนำเสนอ แต่สิ่งที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดคือรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของคนไทย ในย่านใจกลางเมืองที่สำคัญและเป็นเขตเศรษฐกิจ ถูกล้อมรอบไปด้วยตึกระฟ้า และรถไฟฟ้า BTS ของกรุงเทพฯ โดยผู้คนส่วนใหญ่มักจะมากราบไหว้เพื่อขอพร และเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณที่กรุงเทพฯ ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 พร้อมกับโรงแรมเอราวัณ ซึ่งท้าวมหาพรหมเอราวัณเป็นของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งประเทศไทยนั้นถือเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายของด้านศาสนา ซึ่งหลังจากมีการประชุมร่วมกับโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นแล้ว ก็ได้มีการสร้างขึ้นโดยมี 4 พระพักตร์ สร้างจากทองคำ ซึ่งรู้จักกันในนาม ท้าวมหาพรหมเอราวัณ ซึ่งในประเทศไทยนั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษและอัญเชิญท่านมาประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้า ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่บริเวณย่านใจกลางเมือง เป็นเขตเศรษฐกิจ และมีชื่อเสียงด้านความสวยงามและบรรยากาศที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และยังดึงดูดผู้คนมากกว่าวัดบางแห่งในเมือง
หนึ่งสถานที่ที่มีผู้คนมาเคารพมากที่สุดในเมืองคือ ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณที่กรุงเทพฯ
เมื่อคุณเข้ามาในบริเวณ ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณที่กรุงเทพฯ แล้ว คุณจะได้เห็นถึงของไหว้ที่หลากหลาย เช่น ดอกไม้ พวงมาลัย ผลไม้ เป็นต้น ที่นำไปวางที่บริเวณหน้าเทวรูปของท้าวมหาพรหมเอราวัณ ซึ่งเทวรูปมีการจัดการและรักษาโดย “มูลนิธิท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ” ซึ่งจะมีคนเข้ามาสักการบูชาตลอดทั้งเช้าและเย็น โดยผู้ที่เข้าไปสักการะจะถือธูปเทียน ดอกไม้ และมีการอธิษฐานขอพรจากท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ และบริเวณนั้นก็จะมีนางรำ หรือการแสดงต่างๆ แสดงต่อหน้าเทวรูป เพื่อเป็นการถวายความเคารพ หรือบางคนอาจขอพรแล้วได้ตามที่หวังก็ได้มีการจ้างให้มารำถวายขอบคุณ ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณที่กรุงเทพฯ ถือเป็นอีกที่หนึ่งที่เป็นสถานที่ทีสุดพิเศษอีกแห่งหนึ่ง